วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม


อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
ชุมชน เป็นสังคมฐานรากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชุมชนอ่อนแอ ประสบความยากจน เกิดปัญหาสังคม กระนั้นก็ดี ชุมชนมีการใช้ทุนทางสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เพื่อการดำรงอยู่ ตลอดจนมีการร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นไปสู่ชุมชนเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้ยังจะนำไปสู่การสร้างระบบประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลให้ชุมชนมี บทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น ตามความหลากหลายของวิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญาที่มีอยู่ในชุมชนท้องถิ่น เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากเหตุการดังกล่าว จึงนำไปสู่ความคิดของการมีกฎหมายเพื่อรองรับการเกิดเวทีปรึกษาหารือของชุมชน ที่มีสถานะที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เป็นกฎหมายส่งเสริมไม่บังคับชุมชน สามารถดำเนินการเมื่อเกิดความพร้อมและเห็นพ้องต้องกัน รวมทั้งการคงความเป็นอิสระและความร่วมมือต่อกันของการทำงานในท้องถิ่น โดยในการดำเนินงานให้เกิด พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนมีลำดับความเป็นมา ดังนี้
1. ที่มา พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ปัจจุบัน มีพื้นที่ตำบลที่องค์กรชุมชน แกนนำธรรมชาติ ปราชญ์ชาวบ้าน แกนนำที่เป็นทางการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และสถาบันในท้องถิ่น (วัด โรงเรียน สถานีอนามัย) ได้มีการทำงานพัฒนาด้านต่างๆ เช่น การทำแผนชุมชน การจัดสวัสดิการ การจัดกาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม การจัดการทุนของชุมชน จัดให้มีสภาผู้นำชุมชน ฯลฯ มีเวทีแลกเปลี่ยนร่วมกันคิด ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ นำไปสู่การสร้างเป้าหมายร่วมกันของพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ซึ่งจากการทำงานในแนวทางดังกล่าว ได้ช่วยให้เกิดการจัดการตนเองร่วมกันของชุมชนท้องถิ่น โดยที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เกิดความสัมพันธ์อันดีภายในชุมชนท้องถิ่น
จากการที่ชุมชนท้องถิ่นได้ร่วมกันจัดการตนเองตามแนวทางดังกล่าว และทำให้เกิดความเข้มแข็งส่งผลดีต่อชุมชนท้องถิ่นโดยรวม แกนนำชุมชนที่มีประสบการณ์ และคนทำงานพัฒนา จึงได้ร่วมกันยกร่าง พ.ร.บ. สภาองค์กรชุมชนขึ้นมา เพื่อให้มี พ.ร.บ. ที่จะช่วยหนุนเสริม สร้างการยอมรับการทำงานร่วมกันแบบสภาองค์กรชุมชน ทำให้กรณีตัวอย่างดี ๆ ที่ทำมาแล้วขยายออกไปพื้นที่อื่น พื้นที่ที่สนใจ และพร้อมจะร่วมกันสร้างสภาองค์กรชุมชน ที่ถือเป็นระบบประชาธิปไตยทางตรงจากฐานรากได้ร่วมกันทำเรื่องนี้ให้กว้าง ขวางยิ่งขึ้น
2. กระบวนการร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ในปี 2549 เครือข่ายองค์กรชุมชนร่วมกับวิทยาลัยการจัดการทางสังคม จัดสรุปบทเรียน "ประชาธิปไตยชุมชน...การเมืองสมานฉันท์" และ จัดเวทีสังคมสนทนา "การเมืองสมานฉันท์ สร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น" ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้มีการจัดเวทีระดมความคิดเห็นในระดับภูมิภาคทั้ง 8 ภาคเพื่อพัฒนาข้อเสนอของภาคประชาชนต่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง โดยสาระหลักเป็นการปรับเปลี่ยนกลไกการบริหารโดยกระจายอำนาจไปที่ชุมชนท้อง ถิ่น ให้มีอิสระในการจัดการตนเอง พร้อมกับพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อนำพาชุมชนและท้องถิ่นไปสู่การพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง จากนั้นในเดือน พ.ย.49 ผู้แทนองค์กรชุมชนทั่วประเทศจำนวน 200 คน ได้เข้าพบและนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนต่อนายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลลานนท์) ณ ทำเนียบรัฐบาล ต่อด้วยการยกร่างหลักคิดและเนื้อหาสาระ พ.ร.บ. สภาองค์กรชุมชน และได้จัดเวทีระดมความเห็นผู้นำชุมชนสี่ภาค และเกิดคณะทำงานเครือข่ายองค์กรชุมชนที่จะร่วมกันขับเคลื่อนเรื่องนี้ ซึ่งภายหลังได้จัดตั้งเป็นสมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย ( สอท.)
ต่อมาได้มีการจัดเวทีระดมความเห็นเกี่ยวกับร่างทั้งส่วนกลางและภูมิภาค 10 เวที สรุปเป็นร่าง พ.ร.บ. สภาองค์กรชุมชนท้องถิ่นเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือนมีนาคม 2550 และในเดือนเมษายน ได้เสนอต่อคณะอนุกรรมาธิการความมั่นคงของมนุษย์ (ครูชบ ยอดแก้วเป็นประธาน และครูมุกดา อินต๊ะสารเป็นรองประธาน) ในคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ สภานิติบัญญัติ (สนช.) ซึ่งครูหยุย (วัลลภ ตังคณานุรักษ์) เป็นประธาน ในช่วงเดือนเดียวกันก็ได้มีการสัมมนาเปิดภาพการขับเคลื่อนสภาองค์กรชุมชน ท้องถิ่น ซึ่งมีเครือข่ายชุมชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 1,800 คน โดยรองนายกรัฐมนตรีไพบูลย์ วัฒนศิริธรรมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (นพ.พลเดช ปิ่นประทีป) เข้าร่วมเวที ซึ่งสรุปผลการสัมมนาเครือข่ายจะปฏิบัติการนำร่องสภาองค์กรชุมชน 200 ตำบล และจะผลักดันให้ พ.ร.บ. ผ่านในรัฐบาลชุดนี้ แต่หลังจากที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เสนอร่าง พ.ร.บ. เข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี (5 มิถุนายน 2550) ปรากฎว่าในคณะรัฐมนตรีมีความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนแต่บางส่วนคัดค้าน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา จากความเห็นที่มีทั้งการสนับสนุนและการคัดค้าน ทำให้สื่อมวลชนทำข่าวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคม 2550 สถาบันวิชาการทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคมีการจัดเวทีระดมความเห็นเรื่องนี้ อย่างกว้างขวางในส่วนของเครือข่ายชุมชนจึงได้ไปทำงานร่วมกับคณะอนุ กรรมาธิการความมั่นคงของมนุษย์ ในคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ สภานิติบัญญัติ ซึ่งประธานสภานิติบัญญัติ (นายมีชัย ฤชุพันธ์) ได้มาช่วยซักถามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และปรับร่าง พ.ร.บ. จนสามารถเสนอ สนช. ได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 โดยรองนายกไพบูลย์ฯ ไปรับร่างจาก สนช. จากนั้นกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้จัดระดมความเห็นหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับร่างที่จะเสนอโดย รัฐบาล (23 สิงหาคม 2550) แต่เมื่อยังมีผู้คัดค้านนายกรัฐมนตรีจึงเห็นสมควรให้ออกเป็นระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีไปก่อน โดยรัฐบาลไม่ได้ส่งร่างพ.ร.บ.ประกบร่างพ.ร.บ.ฉบับที่เสนอโดย สนช.เหมือนกฎหมายฉบับอื่น ๆ
ในส่วนของคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ สนช. ก็ได้จัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้อง (27 สิงหาคม 2550) จากนั้นครูมุกดา อินต๊ะสาร ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ให้ที่ประชุม สนช.พิจารณารับหลักการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2550 ซึ่งได้มีผู้อภิปรายสนับสนุนสิบท่านคัดค้าน 1 ท่าน ที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 61 เสียง ไม่เห็นด้วย 31 เสียง และมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 22 ท่าน ไปพิจารณารายละเอียด ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2550 คณะกรรมาธิการวิสามัญโดยนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เป็นประธาน ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง 11 ครั้ง และนำเสนอ สนช. พิจารณาวาระที่สองและลงมติวาระที่สามในวันที่ 28 พ.ย. 50 ซึงที่ประชุม สนช. มีมติเห็นสมควรให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายอย่างเอกฉันท์ 83 เสียง

๑๙  เมษายน 2555 นี้ สภาองค์กรชุมชน ตำบลทุ่งขมิ้น กลุ่มอำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ได้จัดให้มีเวทีภาคประชาชนขึ้น หากดวงจิตวิญาณท่านสถิตอยู่ที่แห่งหนได้ โปรดได้รับทราบว่ามีชุมชนหนึ่งบนประเทศนี้ ได้นำวิถีแห่งชุมชนเพื่อจัดการตนเองโดยมี บุญ มีคุณธรรม มีจริยธรรม นำชุมชนแห่งนี้

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

ทางออกของประเทศ


เปิดเวทีตรงที่มีปัญหา ของภาคประชาชน โดย
ปิดถนนพูดคุยบนปัญหา
เรียนทุกๆท่านดังนี้ครับ ผมในนามผู้นำการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของกลุ่มทุ่งขมิ้น เป็นผู้จัดทำบล็อก สมิหลาพอเพียง ได้มีโอกาสเข้าร่วมใน สภาองค์กรชุมชน ตำบลทุ่งขมิ้น โดยเหตุที่ว่า ทำเรื่อง “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน  วิธีการก็คือไปสัมผัสวิถีชีวิตของแต่ละคนในชุมชน สิ่งที่ได้รับคือขาดการส่งเสริมจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตลอดจนภาครัฐ เอาล่ะไม่ลงลึกมากกว่านี้เพราะผมไม่เข้าใจเป็นเดิมทุนอยู่แล้ว ผมก็ทำไปเรื่อยๆคนเดียว จนวันหนึ่งผมมาพบพระ (ท่านมหาวิชิต วัดปลักพ้อ) ท่านก็ให้ความรู้ ให้กำลังใจที่ดีเสมอมา จนวันหนึ่งท่านก็ได้กล่าวถึง สภาองค์กรชุมชน ตำบลทุ่งขมิ้น ผมได้เข้าร่วมประชุมสภาทุกครั้ง แต่ก็ไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของสภา เพราะดูเหมือนเป็นองค์กรที่ไม่มีความสามารถที่จะจัดการเรื่องใดๆ ในชุมชนเลย แม้แต่การเชิญผู้ดูแลชุมชนทุกระดับชั้นยังทำไม่ได้เลย ไม่ได้เพราะเชิญแล้วท่านฯเหล่านั้นไม่มา แล้วมันผิดอะไรกับการพูดคุยในวงกาแฟไปวันๆ
จนวันหนึ่งผมก็ได้เข้าร่วมประชุมอีกครั้งเรียกว่า “ประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนอย่างมีคุณภาพ”  ในครั้งนี้เองที่ทำให้ตาสว่างขึ้นมากเพราะจริงๆแล้ว กฎหมายให้ความคุ้มครองทุกคน และคุ้มครองกลุ่มบุคคลในนามชุมชนอีกด้วย แต่ทำไมประชาชนไม่ทราบ ชุมชนไม่รู้มาก่อน เพราะพวกเราไม่สนใจและคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือ หน่วยงานภาคท้องถิ่นไม่ขยายความรู้นี้ต่อประชาชน
หลายครั้งหลายคราที่ปัญหาในชุมชนเกิดขึ้น หรือ ปัญหาในการทำมาหากินเกิดขึ้น จนเป็นเหตุให้มีการประทวงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การร่วมประทวงหรือที่เรียกติดปากว่าม็อบ สร้างความเสียหายต่อประเรามาหลายครั้ง มีการเสียชีวิต ทรัพย์สินเงินทองมากมาย เกิดขึ้นเพราะอะไร? เพราะผู้ที่มีหน้าที่ไม่ทำตามกฎกติกาที่วางเอาไว้ การละเมิดกฎหมายเกิดขึ้นความยุติธรรมจบลง คนกลางไม่มี ที่พึ่งมองไม่เห็น การพึ่งพาตนเองจึงเกิดขึ้น
การร่วมตัวของกลุ่มคนเพื่อประทวงเรียกร้องในความต้องการของกลุ่มคน บ้างครั้งไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นทุกครั้งโดยปฏิเสธไม่ได้แต่หากท่านได้รู้จัก ภารกิจของสภาองค์กรชุมชนในพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ (คัดย่อบางมาตราดังนี้)
มาตรา ๒๑ ให้สภาองค์กรชุมชนตำบล มีภารกิจดังต่อไปนี้
() ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชนและของชาติ
() ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และหน่วยงานของรัฐในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ที่จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน
() เผยแพร่และให้ความรู้ความเข้าใจแก่สมาชิกองค์กรชุมชน รวมตลอดทั้งการร่วมมือกัน
ในการคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
() เสนอแนะปัญหาและแนวทางแก้ไขและการพัฒนาต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
() เสนอแนะปัญหาและแนวทางแก้ไข หรือความต้องการของประชาชนอันเกี่ยวกับ
การจัดทำบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
() จัดให้มีเวทีการปรึกษาหารือกันของประชาชนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในการให้ความคิดเห็นต่อการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่มีผลหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือ
ทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นผู้ดำเนินการหรือเป็นผู้อนุญาตให้ภาคเอกชนดำเนินการต้องนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย
() ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรชุมชนในตำบลเกิดความเข้มแข็งและสมาชิกองค์กรชุมชน
รวมตลอดทั้งประชาชนทั่วไปในตำบลสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
() ประสานและร่วมมือกับสภาองค์กรชุมชนตำบลอื่น
() รายงานปัญหาและผลที่เกิดขึ้นในตำบลอันเนื่องจากการดำเนินงานใด ๆ ของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐ โดยรายงานต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
(๑๐) วางกติกาในการดำเนินกิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบล
(๑๑) จัดทำรายงานประจำปีของสภาองค์กรชุมชนตำบล รวมถึงสถานการณ์ด้านต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในตำบล เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบ
(๑๒) เสนอรายชื่อผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อไปร่วมประชุมในระดับจังหวัดของ
สภาองค์กรชุมชนตำบล จำนวนสองคน
                        ทุกท่านครับ นี้คือทางออกของประเทศไทยเรา หากชุมชนได้รู้จักสิทธิของตนเอง แล้วใช้สิทธิของตนเองตามกฎหมาย ประเทศไทยเราก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ หากสภาองค์กรชุมชนเป็นผู้ที่ดำเนินการให้ชุมชนและประชาชนได้รู้ได้เข้าใจ และสามารถจัดการตนเองในทุกๆเรื่องได้จริง ปัญหาต่างๆก็มีทางออกที่ดี และเป็นทางออกของประเทศไทยเรา
            ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรี ท่านอธิบดี  ท่านผู้ว่าราชการ ท่านนายอำเภอ ท่านนายก อบจ.ท่านนายก อบต. ท่านกำนันผู้ใหญ่บ้าน ทุกท่านครับ สภาองค์กรชุมชน ตำบลทุ่งขมิ้น อ.นาหม่อมจังหวัดสงขลา ได้จัดให้มีการเปิดเวทีภาคประชาชนขึ้น ในวันที่  ๑๙  เมษายน ๒๕๕๕ ณ ถนนลูกรั้งสายเหมืองบน หมู่ที่ ๔ ต.ทุ่งขมิ้น อ.นาหม่อม จังหวัดสงขลา เวลา ๐๘.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น.  เวลา. ๑๐.๐๐ น. รับฟังธรรม จากพระมหาวิชิต ปธ.๙ (วัดปลักพ้อ) ๑๑.๐๐ น.ถวายเพล ผู้มีจิตรศรัทธาและชาวบ้าน ต.ทุ่งขมิ้น นำปิ่นโตมาเลี้ยงพระ ชาวบ้านที่สนับสนุนได้จัดทำขนมจีน และขนมหวานไว้เลี้ยงผู้ร่วมงาน ในการนี้ได้เรียนเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน นักวิชาการ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง สื่อสารมวลชน เครือข่ายประชาชน เพื่อทำการปรึกษาหารือกันในสองหัวข้อดังนี้
๑.      การปล่อยน้ำเสียลงคูคลอง (มีข้อพิพาทคือ การปล่อยขี้หมูลงคูคลองและส่งกลิ่นเหม็น)
๒.    กรณีถนนลูกรั้งสายบ้านเหมืองบน ที่ถูกปล่อยปะละเลยว่าสิบปี
โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ตาม พรบ.ที่ได้อ้างมา
ทุกๆท่านครับ หากเราเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง จะสำเร็จได้
ต้องแก้จากประชาชนกันเอง เริ่มแก้ที่ชุมชนก่อน เวทีในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะให้ความสำคัญต่อประชาชนหรือไม่ ข้อสรุปของปัญหาจะได้ผลหรือไม่ ชาวบ้านที่ได้รับความเดือนร้อนจะเข้าร่วมมือกันได้หรือไม่ เวทีภาคประชาชนครั้งนี้ต้องมีคำตอบ